1. การลดจำนวนพนักงานออฟฟิศจะยังคงมีต่อเนื่อง (White Collar Recession Will Continue) แม้ว่าการดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสามารถจะยังเป็นความท้าทายอย่างต่อเนื่องในปีหน้า หลายสำนักก็คาดว่า ในปีหน้าการ layoff ครั้งใหญ่ในกลุ่ม Tech Firm จะยังคงมีต่อเนื่องตามเทรนด์ตลาดล่าสุดที่ Tech Firm ใหญ่ ๆ อย่าง Meta และ Amazon เริ่ม layoff พนักงานออฟฟิศ โดยเฉพาะ Tech Talent อย่าง Software Devloper และ Engineers ในบาง Business Unit ที่ไม่กระทบ Core Busienss เพื่อที่จะลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในงานให้มากขึ้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อเทียบกับการ layoff ในกลุ่ม Blue Collar หรือแรงงานในภาคอุตสาหกรรมที่มีให้เห็นอย่างต่อเนื่องแต่ไม่น่าตกใจเท่านี้ ส่วนหนึ่งหลายสื่อก็มองว่าเกิดจากความก้าวหน้าาทางเทคโนโลยีอย่าง A.I. ที่ทำให้คนทำงานได้มากขึ้น ใช้ทีมเล็กลงก็ทำได้เท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ นอกจากนี้ อัตราการจ้างงานโดยรวมจากการเก็บข้อมูลของ LinkedIn ยังลดลงในหลายประเทศอีกด้วย เทรนด์นี้จะทำให้เหล่า Developer ทั่วโลกเริ่มหวั่นใจจากที่เคยชินกับการได้รับ Privillege ผ่าน offer ตัวเงินสูง ๆ และสวัสดิการเต็มที่ครอบคลุมทั้งงานและชีวิตส่วนตัวมาหลายปี แนวโน้มที่เกิดขึ้นนี้อาจทำให้อำนาจในการต่อรองเงินเดือนลดลงและสวัสดิการกลับมาสู่ฐานปกติมากขึ้น
ข้อมูลอัตราการจ้างงานจาก LinkedIn ใน 14 ประเทศ
2. คนเลือกงานจากเงินเดือนและสวัสดิการเป็นหลัก (Pay & Benefits as a Top Hiring Factor) จากการเก็บข้อมูลของ LinkedIn Market Research พบอีกว่า ผู้สมัครส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเงินเดือนและสวัสดิการเป็นอันดับหนึ่ง โดย Glassdoor ยังพบเพิ่มเติมว่า สวัสดิการต่าง ๆ อย่างอาหารและเครื่องดื่ม หรือฟิตเนส จะสำคัญน้อยลง คนอยากได้เงินสดมากขึ้นเพราะค่าครองชีพสูงขึ้น ตามด้วยความสมดุลในชีวิต (Work-life balance) ความยืดหยุ่นในงาน (Flexible-work arrangements) ที่สามารถเลือกเวลาและสถานที่ทำงานเองได้ คนสนใจงานที่มีรูปแบบ remote มากขึ้นและจะยังเป็นเทรนด์ต่อไป นอกจากนี้ผู้สมัครยังให้ความสำคัญกับโอกาสในการได้พัฒนาทักษะ (Upskilling) โดยเฉพาะทักษะที่กำลังเป็นที่ต้องการ ทั้งหมดนี้เป็น Top 4 priority ที่คนหางานต้องการมากที่สุด
3. โอกาสในการหมุนเวียนงานในองค์กรจะช่วยรักษาพนักงานไว้ (Internal Mobility) โอกาสในการเติบโตก้าวหน้าภายในองค์กร (Career growth) เป็นอันดับ 5 ที่คนทำงานมองหา โดยการเก็บข้อมูลของทั้ง LinkedIn และ Korn Ferry ยังพบว่า พนักงานที่มีโอกาสหมุนเวียนงานภายในองค์กรจะอยู่กับองค์กรนานกว่าพนักงานที่ทำงานในบทบาทเดียวนาน ๆ โดยเฉพาะใน Financial Service Sector และไม่จำเป็นว่าจะต้องหมุนเวียนเฉพาะในสายงานเดิมเท่านั้น แต่การข้ามสายงานยังเป็นเทรนด์ที่จะพบได้มากขึ้น โดยใช้เครื่องมือ analytics มาช่วยวิเคราะห์และจับคู่งานกับคนที่เหมาะสมในองค์กรไม่ว่าจะอยู่ในสายงานใด รวมถึงพนักงานเก่าที่เคยออกไปด้วยความสมัครใจหรือไม่สมัครใจก็จะมีโอกาสกลับมาทำงานสูงขึ้นหากมีทักษะที่ธุรกิจต้องการ
4. ทักษะที่เป็นที่ต้องการจะเปลี่ยนเร็วขึ้น (In-Demand Skills Changing) โดยพบว่าทักษะเปลี่ยนไป 25% จากปี 2015 และคาดว่าจะเปลี่ยนถึง 41% ในปี 2025 โดย Digital marketing Skill และ Social Media Marketing อยู่ในลำดับต้น ๆ ของรายการทักษะที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด และส่วนใหญ่เป็นทักษะทางเทคนิค (Hard skills) ส่วน Soft Skills ที่เป็นที่ต้องการอันดับต้น ๆ ได้แก่ customer service, leadership, communication และ problem solving ในขณะที่ Forbes ให้เหตุผลว่า สถานการณ์ที่ไม่แน่นอนทางธุรกิจจะทำให้ผู้สมัครที่มีความอึดถึกทน (Grit and Resillience) และปรับตัวเก่งจะเป็นที่ต้องการสูงมาก
ตัวอย่างทักษะที่กำลังเป็นที่ต้องการจากข้อมูลของ LinkedIn
ถึงแม้ว่าตลาดแรงงานในปีหน้าจะยังคงท้าทายในการให้เหล่าผู้บริหารและ HR Professionals ในการวางแผนระยะยาว การหมั่นอัปเดตและทำความเข้าใจแนวโน้มของเศรษฐกิจและตลาดแรงงานจะช่วยให้มีมุมมองที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบ และเมื่อโอกาสมาถึงก็จะสามารถคว้าตัวและรักษาคนเก่งๆ เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนธุรกิจได้ในจังหวะที่ธุรกิจต้องการที่สุดได้
อ้างอิง
https://business.linkedin.com/talent-solutions/global-talent-trends
https://www.kornferry.com/insights/featured-topics/talent-recruitment/talent-acquisition-trends-2023
Comments